Ulthera ทําได้บ่อยแค่ไหน
|หลายคนคงสงสัยว่าการรักษาด้วย Ulthera สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุหรือกำลังมีสภาพผิวหย่อนคล้อยมาก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเลขสามขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีการสร้างของคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนังลดลงและเกิดการเสื่อมสภาพ
เนื่องจากผิวหนังของคนเราจะมีองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่ 3 อย่าง คือ
1) คอลลาเจน (Collagen) จะเป็นองค์ประกอบหลักที่อยู่ในชั้นผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และเต่งตึง
2) อีลาสติน (Elastin) ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและสามารถยืดออกได้มาก
3) กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid ) หรือ HA ช่วยในการจับตัวกับน้ำ เพื่อรักษาความชุ่มชื่นให้คงอยู่ในผิวหนัง
ดังนั้น เรามาหาคำตอบเกี่ยวกับ Ulthera เพิ่มเติมกันเลยว่ามีข้อดี ผลข้างเคียง และถ้ารับการรักษาควรจะทำต้องบ่อยแค่ไหน ถึงจะสามารถเห็นผลลัพธ์ของผิวที่เต่งตึงและการยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
อัลเทอร่า จึงเป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง โดยการปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือคลื่นอัลตร้าซาวน์ ซึ่งเป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับการใช้ตรวจครรภ์ทางการแพทย์ จะถูกปล่อยลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้จนถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (Superficial Musculo Aponeurotic System) หรือชั้น SMAS คลื่นพลังงานที่ออกมาจะมีลักษณะเป็นเส้น ๆ การรักษาแบบนี้จะได้ผลลัพธ์การรักษาใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรมหรือผ่าตัดดึงหน้า แต่จะแตกต่างกันตรงที่ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำอีกด้วย
Ulthera ทำงานอย่างไร
หลักการทำงานของ Ulthera เป็นการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวน์ที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งคลื่นจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนประมาณ 65 องศาเซลเซียส โดยการใช้หัว Ulthera ส่งพลังงานลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้ลึกถึง 3 ระดับ คือ
- 1.5 mm. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) จะไปทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัวและจัดเรียงตัวขึ้นใหม่อย่างเป็นระเบียบ
- 3.0 mm. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) จะไปสลายไขมันที่สะสมและกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น
- 4.5 mm. ชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) จะไปทำให้โครงสร้างเนื้อเยื่อนั้นถูกเย็บเป็นจุด ๆ มีระยะห่างกันประมาณ 1 mm. ยังไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ผิวจะค่อย ๆ เต่งตึงและกระชับมากขึ้น ซึ่งการรักษาด้วย Ulthera จะไม่ทำลายผิวหนังด้านบน
Ulthera เหมาะสำหรับใคร
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่ต้องการความสะดวก ประหยัดเวลา ซึ่งไม่ต้องการทำศัลยกรรมหรือผ่าตัดที่ใช้เวลาพักฟื้นนาน
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย มีกรอบหน้าไม่ชัด มีรูขุมขนกว้าง
- สามารถทำการรักษาบริเวณใบหน้า (หน้าผาก หางตา หางคิ้ว รอบดวงตา แก้ม มุมปาก กรอบหน้า และใต้คาง) บริเวณลำคอและเนินอก
Ulthera ไม่เหมาะสำหรับใคร
- หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคที่มีอาการร้ายแรง
- ผู้ที่มีบาดแผลหรือกำลังเป็นสิว
ข้อดีของการรักษาด้วย Ulthera
- ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและปรับกรอบหน้าได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยหรือร่องลึก ปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและกลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- เครื่องที่ใช้ในการรักษานั้นผ่านการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ทำให้เกิดบาดแผล ไม่ทำลายผิวหนังส่วนบน ไม่มีการพักฟื้น
- สามารถแต่งหน้าได้หลังทำทันที
- ใช้ระยะเวลาการรักษาไม่นานมาก
- การรักษาจะให้ผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรมหรือผ่าตัดดึงหน้า
- มีโปรโมชั่นให้ผู้ที่จะเข้ารับบริการได้เลือกหลากหลาย
- การเลือกรักษาผิวด้วย Ulthera นั้นคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน
ผลข้างเคียงของ Ulthera
ขณะทำจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ ที่บริเวณชั้นใต้ผิวหนัง
หลังการรักษาอาจพบอาการผิวแดงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย จะสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 ชั่วโมง
บางรายอาจมีอาการระบม บวม หรือปวด บริเวณที่ทำการรักษา เคสนี้จะเกิดกับผู้ที่มีผิวค่อนข้างบอบบาง ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังทำประมาณ 1 สัปดาห์
ต้องใช้จำนวน Line ประมาณเท่าไหร่
- ผู้ที่มีอายุ 25-35 ปี จะใช้ประมาณ 300 Line
- ผู้ที่มีอายุ 35-45 ปี จะใช้ประมาณ 400 Line
- ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป จะใช้ประมาณ 500 Line
จำนวน Line ที่ใช้ จะขึ้นอยู่กับปัญหาสภาพผิวของแต่ละคน เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ก็อาจจะต้องใช้จำนวน Line ที่มากขึ้น
ขั้นตอนการรักษาด้วย Ulthera
- ปรึกษาและแจ้งประวัติการรักษาให้ทราบ เพราะคุณหมอจะได้ทำการวิเคราะห์สภาพปัญหาของผิว การวางแนวทางรักษา และประเมินจำนวน Line ที่ใช้ให้เหมาะกับแต่ละคน
- พนักงานจะทำความสะอาดบริเวณผิว และจะทายาชาบริเวณที่ต้องการรักษาให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที
- คุณหมอจะเริ่มทำการรักษาด้วยเครื่อง Ulthera โดยการปล่อยคลื่นพลังงานลงบนผิวหนังจนครบทุกตำแหน่ง ใช้เวลาทำประมาณ 1 ชั่วโมง และจะทำความสะอาดผิวอีกครั้ง
- เมื่อทำการรักษาเสร็จสิ้นแล้วจะมีการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับขั้นตอนการทำ Ulthera ควรเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทำการรักษาให้เท่านั้น เนื่องจากต้องมีการปรับค่าพลังงานให้เหมาะสมกับการใช้บนผิวหนัง
ผลลัพธ์หลังทำ Ulthera จะอยู่ได้นานเท่าไหร่
หลังทำการรักษาจะเห็นผลได้ประมาณ 20-30 % เมื่อผ่านไป 3 เดือน จะเห็นผลการรักษาได้ 100 %
โดยการรักษาเพียงครั้งเดียว สามารถคงสภาพอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวของแต่ละคน
การดูแลตัวเองก่อนทำ Ulthera
ก่อนการเข้ารับการรักษาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ควรเตรียมสภาพผิวของเราให้พร้อม อาทิเช่น
- ควรบำรุงผิวหน้าและผิวกายด้วยครีม
- ควรรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิวหนัง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีสีแดง ปลาทะเลน้ำลึก
- ควรออกกำลังกายให้ได้วันละ 30-60 นาที เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและทำให้ระบบโลหิตมีการไหลเวียนดีขึ้น
- งดรับประทานยาที่ทำให้เลือดออกได้ง่าย
- งดสูบบุหรี่
- งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
การดูแลตัวเองหลังรักษา
- ควรบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวหนัง
- ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดในคืนแรกหลังทำ
- ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารที่ทำให้เกิดการอุดตันบนใบหน้า
- ควรดื่มน้ำเปล่าแทนการดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ให้ได้ประมาณ 1.5 ลิตรต่อวัน
- ควรเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง เช่น การมาส์กผิวด้วยว่านหางจระเข้หรือแตงกวา
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดผลไม้ (AHA) และกรดซาลิไซลิก (BHA) เนื่องจากจะไปทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาสิว
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปกป้องแสงแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30-50
- หลีกเลี่ยงการเผชิญมลภาวะ ฝุ่น หรือควัน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้ความร้อนกับผิวหนังโดยตรง เช่น การซาวน่า เพราะความร้อนจะไปทำให้ร่างกายเกิดการขาดน้ำและเลือดข้นหนืดขึ้น
- หากมีอาการแดงหรือบวมที่ผิวหนัง ควรสัมผัสผิวเบา ๆ และงดการนวดหรือถูบริเวณใบหน้าไปก่อน
- หากมีอาการปวดที่ผิวหนัง ควรรับประทานยาแก้ปวดหรือการประคบเย็นด้วยเจลเย็น
- หากมีอาการผิวแห้ง ควรบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวเป็นประจำ
ควรทํา Ulthera บ่อยแค่ไหน
ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มากหรือยังมีอายุน้อยกว่า 30 ปี ควรทำปีละ1 ครั้ง
ส่วนผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยหรือมีอายุมาก ๆ ควรทำปีละ 2-3 ครั้ง (ทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน) เนื่องจากผิวจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา หรืออาจจะทำการรักษาแบบอื่นควบคู่กันได้ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น