ยกกระชับผิวหน้าด้วย Hifu กี่ช็อตถึงเห็นผล
|ปัญหาการมีผิวที่หย่อนคล้อย มักสร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน ดังนั้นการมองหาเทคโนโลยีความงามที่ช่วยรักษาผิวให้กลับมายกกระชับและเต่งตึงขึ้นด้วย Hifu ซึ่งจะเป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์พลังงานความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับผิวหน้า ลงสู่ผิวชั้น SMAS หรือ Supercial musculoaponeurotic system เพื่อแก้ปัญหาดังที่กล่าวมา
ซึ่งการทำ Hifu บนใบหน้าของแต่ละคน จะใช้จำนวนช็อตที่แตกต่างกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและบริเวณที่ต้องการทำ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินก่อนเข้ารับการรักษาโดยละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด
หลักการการทำงานของ Hifu
การรักษาด้วย Hifu (ไฮฟู) จะเป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์พลังงานความร้อน (High Intensity Focus Ultrasound) จะใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ ประมาณ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถยกกระชับได้ถึง 3 ระดับชั้นผิว ชั้นผิวจะได้รับพลังงานความร้อนเป็นจุด ๆ ซึ่งจะส่งพลังงานลงลึกระดับต่าง ๆ ดังนี้
- ระดับ 5 จะส่งพลังงานไปยังชั้นหนังแท้ส่วนบน (Superficial Dermis)
- ระดับ 0 จะส่งพลังงานไปยังชั้นหนังแท้ส่วนลึก (Deep Dermis) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีสาสติน
- ระดับ 5 จะส่งพลังงานไปยังชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ให้เกิดการหดตัว และทำให้โครงสร้างผิวเกิดการจัดเรียงตัวใหม่
ขั้นตอนการรักษาด้วย Hifu
การรักษาด้วย Hifu จะมีขั้นตอนดังนี้
- การทายาชา แพทย์จะทำการทายาชาลงบริเวณที่ต้องการรักษา ทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที
- การใช้เครื่อง Hifu กระตุ้นผิว โดยการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ลงสู่ชั้นผิว ผู้รับการรักษาจะรู้สึกอุ่นผิว หรืออาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับค่าพลังงานที่ใช้ยิง
*** ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการรักษา และจำนวนช็อตที่ใช้ ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ถ้ารักษาทั่วใบหน้าและลำคอ จะใช้เวลาประมาณ 60 นาที
Hifu เหมาะกับใคร
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25-35 ปี มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยไม่มากนัก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว ด้วยวิธีการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด หรือผู้ที่มีผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ต้องการให้ผิวมีความเรียบเนียนและกระชับขึ้น
สามารถทำในบริเวณไหนได้บ้าง
- บริเวณที่มีริ้วรอย คิ้วตก หางตาตก สำหรับคนที่อายุไม่มากจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าทำ Hifu ร่วมกับการฉีด Botox จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่บริเวณแก้ม กรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันใต้คาง (เหนียง) จะช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้น แนะนำให้ฉีด meso fat ควบคู่กัน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
จำนวน Shot ที่ใช้
แนะนำให้ทำความรู้จักกับเครื่อง Hifu กันก่อน ซึ่งเครื่อง Hifu จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- Single Shot จะมีลักษณะเหมือนหัวปากกา ยิงออกมาเป็นจุด (กดยิง 1 ครั้ง จะออกมา 1 ช็อต)
- Line Shot จะมีลักษณะหัวเหลี่ยมใหญ่ ยิงออกมาเป็น “จุด หรือ Dot” (กดยิง 1 ครั้ง จะออกมา 12-25 จุดจึงนับเป็น 1 ช็อต) มีการปล่อยพลังงานที่เสถียรกว่า และใช้ช็อตน้อยกว่าแบบ Single Shot
การประเมินจำนวนช็อตที่ใช้ จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและบริเวณที่ต้องการยกกระชับของแต่ละคน ถ้าหากใช้จำนวนช็อตมากเกินไป อาจทำให้ผิวหน้าเกิดการไหม้ได้ หรืออาจเกิดความแม่นยำและผลลัพธ์ได้ไม่ดีพอ
บริเวณผิวหน้า
- บริเวณหน้าผาก จะใช้ประมาณ 100-200 ช็อต
- บริเวณใต้คาง (เหนียง) และกรอบหน้า จะใช้ประมาณ 200 ช็อต
- บริเวณแก้มทั้งสองข้าง จะใช้ประมาณ 300- 500 ช็อต
บริเวณผิวกาย
- บริเวณหน้าท้อง จะใช้ประมาณ 800 ช็อต
- บริเวณต้นแขนและต้นขา จะใช้ประมาณ 800-1600 ช็อต
ระยะการเห็นผลของการรักษาด้วย Hifu
- บริเวณกรอบหน้า จะเห็นกรอบหน้าที่ชัด แก้มยกกระชับและตึงขึ้น ประมาณ 15-30 เปอร์เซ็นต์ หลังทำทันที
- บริเวณเปลือกตา หางตา คิ้วที่ดูยกขึ้น และริ้วรอยร่องแก้มที่ดูตื้นขึ้น หลังทำประมาณ 7-14 วัน
- บริเวณใต้คาง (เหนียง) แนวกราม และลำคอกระชับขึ้น หลังทำประมาณ 14-20วัน
- การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณใต้ชั้นผิวหนัง จะทำให้ผิวฟู นุ่ม และเรียบเนียนขึ้น หลังทำประมาณ 20-30 วัน
***จะเห็นผลลัพธ์การสร้างคอลลาเจนใหม่ ประมาณ 4–9 สัปดาห์ ซึ่งการรักษาด้วย Hifu จะอยู่ได้อย่างน้อยประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี จะขึ้นกับสภาพผิวและบริเวณที่ทำของแต่ละคน
ข้อดีของการรักษาด้วย Hifu
- ช่วยคืนความมั่นใจให้ผู้ที่อยู่ในวัย 30 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและไม่กระชับ
- ผู้ที่มีริ้วรอยไม่มาก จะเห็นผลหลังเข้ารับการรักษาภายใน 3 เดือน ผิวหน้าจะดูเรียบเนียนและยกกระชับขึ้น
- สามารถลดเลือนริ้วรอย ลดความกว้างของรูขุมขน และลดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำได้
- สามารถรักษาได้หลายบริเวณ อย่างเช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพก
- การรักษาด้วย Hifuเป็นเทคโนโลยีการยกกระชับที่ไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม การผ่าตัด ที่ใช้มีดหรือเข็มเลย
- เป็นการรักษาที่ไม่มีบาดแผลหรือรอยต่าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน
- หลังการรักษาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น การบำรุงผิว หรือแต่งหน้า
- สามารถทำได้บ่อย ซึ่งจะมีช่วงของระยะห่างในการรักษาแต่ละครั้งอยู่
- สามารถทำการรักษาแบบอื่นควบคู่กันได้
ข้อจำกัดในการรักษาด้วย Hifu
- หลังการรักษาด้วย Hifu ในบางรายอาจพบอาการของรอยแดง เมื่อย ตึงบริเวณใบหน้าได้ ซึ่งอาการจะหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง
- การรักษาด้วย Hifu ของแต่ละราย จะรักษาจำนวนครั้งที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของรูปหน้า จึงควรรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการเห็นผลที่ชัดเจน แต่ทั้งนี้ควรเว้นระยะในการทำซ้ำอย่างน้อย 6 สัปดาห์
- ผลการรักษาคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวของแต่ละคน
- ค่าใช้จ่ายในการทำที่ค่อนข้างสูง จึงต้องศึกษาข้อมูลรายละเอียดของเรื่องข้อดี ผลข้างเคียง เครื่องที่ใช้ คลินิก และแพทย์ที่ทำการรักษาก่อนการตัดสินใจ
การดูแลก่อนรักษาด้วย Hifu
ผู้เข้ารับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อรับฟังคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งควรปฏิบัติตามดังนี้
- ไม่แนะนำให้ผู้ที่ผ่านการร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดไขมัน มาแล้วต่ำกว่า 8 เดือน
- ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ก่อนการรักษาประมาณ 3-7 วัน
การดูแลหลังการรักษาด้วย Hifu
- หลังทำการรักษา เมื่อมีอาการปวด เมื่อย หรือตึงบริเวณผิว สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
- หลีกเลี่ยงการขัด นวด หรือถู หน้าแรง ๆ
- ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผลการรักษาไม่ได้ผลที่ดีเท่าที่ควร
คุณภาพของเครื่อง Hifu
การพิจารณาถึงคุณภาพของเครื่อง Hifu มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
- พลังงานที่ใช้จะต้องคงที่ กรณีที่แพทย์ใช้พลังงานเบา ๆ เนื่องจากเครื่อง Hifu ที่ไม่ได้คุณภาพ ทำให้พลังงานไม่คงที่ อาจทำให้ผิวของผู้รับการรักษาเกิดการไหม้หรืออักเสบได้ จึงทำให้การรักษานั้นไม่ได้ผล
- พลังงานที่ใช้จะต้องเสถียร นอกจากการใช้พลังงานที่คงที่แล้ว จุดของพลังงานต้องโฟกัสลงไปในแต่ละจุด ซึ่งจะต้องมีความร้อนที่สม่ำเสมอ ก็คือ 1 หัวยิง ต้องให้พลังงานสูงเท่ากันทั้งหมด เพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างตรงจุด
ราคาประมาณเท่าไร
การทำ Hifu ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 4,000-6,0000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของเครื่อง Hifu และจำนวนช็อต ซึ่งแต่ละคนจะใช้จำนวนที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจทำ