ยกกระชับผิวด้วย Thermage ต้องทำกี่ Shot
|Thermage คือ การใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุความถี่สูง โดยส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังจากหัวเทอร์มาจ (Tip) ด้วยระบบสั่น ขณะทำการรักษาจะรู้สึกสบายและยังไม่ทำลายผิวชั้นนอก เพื่อทำให้เกิดการจัดเรียงตัวและกระตุ้นการสร้างของเส้นใยคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ขึ้นมาใหม่ จึงช่วยให้ผิวหนังบนใบหน้าหรือทั่วร่างกายมีความยกกระชับ ลดริ้วรอย และความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้ผิวชั้นบนเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งการรักษาเพียงครั้งเดียวจะส่งผลลัพธ์ของการคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
หลาย ๆ ท่านที่อยากเข้ารับการรักษาด้วยเทอร์มาจอาจมีข้อสงสัยที่ว่าแล้วจะต้องทำทั้งหมดกี่ซ็อต ดังนั้นเรามาหาคำตอบจากข้อมูลและรายละเอียดดังต่อไปนี้กันเลย
หลักการทำงานของ Thermage
เครื่องเทอร์มาจจะปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุที่มีความถี่สูง ประมาณ 6.78 MHz ชนิดขั้วเดี่ยว (Monopolar Radiofrequency) โดยมีลักษณะการส่งพลังงานเป็นมวลความร้อนขนาดใหญ่ (Bulk heat) เข้าไปยังชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนประมาณ 60 องศาเซลเซียส ในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) ความลึกประมาณ 4.3 มิลลิเมตร ซึ่งจะทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินที่คลายตัวและยืดออก เกิดการจัดเรียงตัวและกระตุ้นให้เกิดการสร้างขึ้นมาใหม่
การรักษาด้วย Thermage เหมาะกับใครบ้าง
จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือไขมันส่วนเกิน ต้องการให้ผิวยกกระชับและมีความเรียบเนียนในบริเวณใบหน้าและร่างกาย ซึ่งการรักษาสามารถทำได้กับคนทุกสีผิว
- ผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณเปลือกตา หางตา ร่องแก้ม รอบปาก และบนใบหน้า
- ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณใบหน้า ใต้คาง (เหนียง) หรือเห็นรูปหน้าของตนเองไม่ชัดเจน
- ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างบนใบหน้า
- ผู้ที่มีรอยย่นบริเวณลำคอและเนินอก
- ผู้ที่มีเรื่องผิวเปลือกส้ม เนื่องจากเซลล์ลูไลท์ (Cellulite) มีไขมันสะสมตามบริเวณลำตัว เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา
การรักษาด้วย Thermage ไม่เหมาะกับใครบ้าง
- หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่เคยผ่าตัดที่มีโลหะภายในร่างกาย หรือผู้ที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
- ผู้ที่เป็นโรคบกพร่องทางภูมิคุ้มกันต่าง ๆ โรคเบาหวาน หรือโรคงูสวัด
- ผู้ที่เคยมีอาการกระดูกหัก
- ผู้ที่มีภาวะชักเกร็ง หรือโรคลมชัก
ขณะทำการรักษาด้วย Thermage จะรู้สึกอย่างไร
จะมีความรู้สึกอุ่น ๆ เพราะความร้อนจากพลังงาน Monopolar RF ที่ถูกส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งความร้อนที่ให้จะเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการใช้บนผิวหนัง และหัวเทอร์มาจ (Tip) จะปล่อยความเย็นออกมาตลอดเวลา เพื่อปกป้องผิวชั้นบนไม่ให้เกิดความเสียหาย
การรักษาด้วย Thermage จะเริ่มเห็นผลเมื่อไหร่
- ระยะแรก คือ สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังรักษา ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการปล่อยพลังงานความร้อน จะไปทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินที่ยืดออกนั้นเกิดการหดตัวลง
- ระยะต่อมา คือ คอลลาเจนและอีลาสตินจะถูกกระตุ้นให้เกิดการสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จากนั้นจะสังเกตได้ว่าผิวมีความกระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ในช่วงเดือนที่ 6 เป็นต้นไป
ผลของการรักษาด้วย Thermage จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน
การรักษาด้วยเทอร์มาจเพียงครั้งเดียวจะคงสภาพอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี จะเห็นผลลัพธ์ในเรื่องของผิวกระชับและปรับรูปหน้าให้เล็กลง (Skin Tightening and Contouring) แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลผิวของแต่ละคน
การรักษาด้วย Thermage มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
- เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา และจะทายาชาลงทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
- แพทย์จะทำการออกแบบตำแหน่งในการยกกระชับผิว โดยจะลอกรูปตาราง (Grid Paper) ลงบนผิว เพื่อความแม่นยำในการรักษา (บางกรณีจะไม่ใช้รูปตาราง เนื่องจากผู้รับบริการบางรายอาจเกิดอาการผื่นแพ้จากส่วนผสมในการลอกรูปตารางลงบนผิว)
- จากนั้นแพทย์เริ่มทำการรักษาด้วยการใช้เครื่องเทอร์มาจจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง วางหัว (Tip) แนบสัมผัสบนผิวหนัง เพื่อส่งคลื่นความถี่วิทยุที่มีความถี่สูงลงไปยังชั้นใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อนกับเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ขณะทำจะใช้เจลที่มีความเย็น เพื่อบรรเทาความร้อนและให้ความรู้สึกสบายผิวมากขึ้น
- ระหว่างทำการรักษา แพทย์จะถามเป็นระยะ ๆ ว่ารู้สึกร้อนมากเกินไปหรือไม่ เพื่อจะได้ปรับค่าพลังงานที่ใช้ให้เหมาะสม ซึ่งจะทำจนครบจำนวนช็อตที่ประเมินไว้
การรักษาด้วย Thermage จะต้องทำทั้งหมดกี่ซ็อต
จะขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ในการประเมินสภาพผิวและตำแหน่งที่ต้องการรักษา ซึ่งเทคนิคนี้จะต่างจากการรักษาแบบอื่น ๆ ที่ทำการรักษาเพียงครั้งเดียวก็จะเห็นถึงผลลัพธ์เลย
- 400 ช็อต จะใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มาก ต้องการยกกระชับผิวให้แน่นมากขึ้น มีกรอบหน้าที่เห็นไม่ค่อยชัดเจน อยากจะปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง
- 600 ซ็อต สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเลขสองปลาย ๆ ขึ้นไป เริ่มมีปัญหาผิวที่มีความหย่อนคล้อยและมีไขมันสะสมบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และใต้คาง
- 1,200 ช็อต เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยค่อนข้างมากในบริเวณใบหน้าและลำคอ เพื่อยกกระชับผิวและลดเลือนร่องต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น
การรักษาด้วย Thermage มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน
การรักษาด้วยเทอร์มาจ จะมีความปลอดภัยสูงมากถึง 99 เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างอิงงานวิจัยจากผู้ที่เข้ารับการรักษามากกว่า 80,000 คนจากทั่วโลก มีการรายงานถึงอัตราผลข้างเคียงที่ต่ำมาก ก็คือ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ แต่บางรายก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้างเล็กน้อย ดังนี้
- หลังการรักษาประมาณ 1 ชั่วโมง อาจมีผิวเป็นสีแดงหรือชมพู แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- อาจมีอาการบวมบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น จะหายไปเองภายใน 3-7 วัน
- อาจเกิดความเจ็บหรือปวดขณะทำการรักษาได้เล็กน้อย แต่ก็จะมีการทายาชาเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวด้วย
- อาจเกิดรอยฟกช้ำหรือห้อเลือดขึ้นได้ เนื่องจากการปล่อยพลังงานไปโดนบริเวณเส้นเลือดบนผิวหนัง แต่อาการจะค่อย ๆดีขึ้นประมาณ 3-7 วันหลังการรักษา
- อาจเกิดอาการชาในบริเวณใบหน้าและร่างกาย เนื่องจากการออกฤทธิ์ของยาชาที่ใช้ทา
- บริเวณผิวที่รักษาอาจมีลักษณะปรากฏเป็นคลื่น และอาจมีอาการคันเกิดขึ้นเล็กน้อย
- ผู้ที่มีผิวหนังค่อนข้างบอบบาง จะมีแผลเป็นหรือตุ่มน้ำเล็ก ๆ ขึ้นได้ง่าย หรือในบางรายอาจเกิดอาการผิวไหม้(Burn) เนื่องจากการยิงด้วยเทคนิคที่ไม่เหมาะสม
การดูแลผิวหลังการรักษาด้วย Thermage
แนะนำให้เตรียมผิวให้พร้อมก่อนทำการรักษา ส่วนหลังการรักษาผู้ที่บริการส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที เนื่องจากการรักษาจะไม่มีบาดแผลใด ๆ จึงควรดูแลผิวด้วยการทาครีมบำรุงและสามารถใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าได้ แต่ถ้าหากต้องออกไปเผชิญแสงแดด ก็ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ เป็นประจำ เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบีควบคู่ด้วย
ข้อจำกัดในการรักษาด้วย Thermage
- การักษาด้วยเทอร์มาจ จะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ หรือผู้ที่มีอายุต้องแต่ 60 ปีขึ้นไป
- ขณะทำการรักษา อาจรู้สึกเจ็บและร้อนบริเวณผิวได้เพียงเล็กน้อย
- หากไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังและเลเซอร์โดยตรง อาจได้รับผลกระทบต่อผิวและผลลัพธ์การรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- ราคาค่อนข้างสูง ซึ่งในบางแห่งอาจมีแพ็คเกจให้เลือกทำในราคาที่แตกต่างกัน ราคาเริ่มต้นประมาณหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน