ฟิลเลอร์ กับ ฉีดไขมัน ต่างกันยังไงแบบไหนดีกว่ากัน
|ทุกวันนี้สาว ๆหลายคนเริ่มหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังฟิตหุ่นสวย หรือแม้กระทั่งการเข้าคอร์สเสริมความงามดูแลผิวพรรณให้สวยใส เรียบเนียน ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเอง และเมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งมีสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ผิวพรรณหย่อยคล้อย ไม่เต่งตึงที่ล้วนสร้างความกังวลใจให้สาว ๆ หลายคนเป็นอย่างมาก
ซึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมพอๆกับการฉีดโบท็อกซ์ก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ กับ การฉีดไขมันลงบนใบหน้า แล้วทั้งสองตัวนี้แตกต่างกันยังไง อันตรายหรือไม่อย่างไร วันนี้เราเลยจะมาให้ข้อมูลดี ๆ แก่สาว ๆ กันพอสังเขป
ฟิลเลอร์คืออะไร?
ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารของเหลวที่ช่วยฟื้นฟูเติมเต็มผิวพรรณส่วนที่ขาดหายไป ในปัจจุบันฟิลเลอร์ตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) เรียกสั้น ๆ ว่า HA เป็นองค์ประกอบสารพื้นฐาน (Ground Substance) ภายในร่างกายอยู่ในส่วนของชั้นผิวหนังแท้ โดยเมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังทำการฉีดสาร HA ตัวนี้เข้าสู่ผิวหนังแล้ว จะไปทำหน้าที่ช่วยให้ชั้นผิวหนังของเรามีความเต่งตึง เรียบเนียน และยกกระชับมากขึ้น ทำให้ผิวพรรณของเรากลับมาสวยดูดีดังเดิม
อีกทั้งตัวสาร HA เมื่อเปรียบเทียบกันการฉีดคอลลาเจนฟิลเลอร์แล้วนั้น ให้ผลการแพ้น้อยกว่าคอลลาเจนฟิลเลอร์ และมีระยะเวลาอยู่ได้นานกว่าด้วย ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดกันส่วนมาก ยกตัวอย่างเช่น หน้าผาก จมูก ใต้ตา ปาก และร่องแก้ม
ประเภทของฟิลเลอร์
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler) คือ ฟิลเลอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความใกล้เคียงกับส่วนที่มีในผิวหนัง สลายเองได้ตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง อายุประมาณ 4-6 เดือน ยกตัวอย่างเช่น สารHyaluronic acid (HA) และสารคอลลาเจน (Collagen)
- 2. ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent filler) เป็นฟิลเลอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่นกัน มีความเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อร่างกาย อายุประมาณ 2-5 ปีปลอดภัยในระดับปานกลางรองลงมาจากแบบชั่วคราว เช่น สาร Polymethy-Methacrylate (PMMA) และ สาร Polyakylimide
- ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler) คือ ฟิลเลอร์ประเภทซิลิโคนเหลว หรือ พาราฟิน สลายไปเองไม่ได้ผิวไม่สามารถดูดซึมได้เพราะให้ผลแบบถาวร อาจส่งผลข้างเคียงในระยะยาวกับร่างกายได้ เช่น มีการอักเสบบริเวณที่ฉีดที่อาจส่งผลต่อใบหน้าได้
สิ่งที่ควรรู้ก่อน – หลังฉีด
ก่อน
- ตรวจสอบคลินิกที่จะใช้บริการให้แน่ใจก่อนว่าได้รับรองมาตรฐาน และน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
- ขอคำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง แจ้งประวัติส่วนตัวว่ามีโรคประจำตัวแพ้ยาหรือไม่
- งดทานวิตามินอี น้ำมันปลา หรือสารสกัดสมุนไพรเช่น โสม เพราะจะทำให้เกิดภาวะช้ำได้ง่าย
- งดทานยาแก้ปวด เช่น ยาต้านการอักเสบ ยาแอสไพริน เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2-3 วันก่อนฉีด
- ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น คาร์ดิโอ และซาวน่า
- วันที่นัดฉีดควรทำความสะอาดผิวหน้ามาก่อน แต่บางคลินิกก็มีบริการทำความสะอาดให้เช่นกัน
หลัง
- หลังฉีดเสร็จแล้วใบหน้าจะมีอาการบวมช้ำ แต่ไม่ต้องกังวลอาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
- ไม่ควรเกา หรือกดนวด ณ ตำแหน่งที่ทำการฉีด และงดการทำสปาผิวหน้า
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ กิจกรรมซาวน่าที่ทำให้ใบหน้าได้รับความร้อน
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดทานอาหารประเภท หมูกระทะ ปิ้งย่าง และชาบู รวมไปถึงอาหารหมักดอง
- ควรดื่มน้ำเปล่าให้มาก เพื่อให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดสู่ผิวมีความอิ่มน้ำ และอยู่ได้นานมากขึ้น
ขั้นตอน
- แพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้าโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ และใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บ
- ทำการฉีดฟิลเลอร์ลงบนบริเวณที่ต้องการ
- ทำความสะอาดบริเวณแผล และพักฟื้น
ข้อดี
- สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด
- ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
- ช่วยให้ผิวหน้ากลับมายกกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ในฟิลเลอร์แบบชั่วคราวจะไม่มีการทิ้งสิ่งตกค้างในร่างกาย
ข้อเสีย
- ในฟิลเลอร์แบบถาวรจะส่งผลข้างเคียงระยะยาว
- อาจเกิดอาการแพ้ในบางคน เช่น มีแผลเป็น เกิดพังผืด และติดเชื้อได้หากเข็มไม่สะอาด
- ควรตรวจสอบฟิลเลอร์ของทางคลินิกก่อนฉีดว่า ได้ผ่านการรับรองโดยอย. หรือยัง
ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับการฉีดไขมันกันต่อเลย
การฉีดไขมัน (Lipofilling) คือ การนำไขมันในส่วนที่เราไม่ต้องการ โดยดูดมาจากตำแหน่งต่าง ๆ ในร่างกายเช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก และต้นขา มาเติมเต็มลงบนใบหน้าในส่วนที่ขาดแทนการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อให้ผิวหน้าของเราดูเอิบอิ่ม อ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรักษารอยแผลเป็นได้อีกด้วย เนื่องจากในไขมันเรามีสเตมเซลล์ที่มีส่วนฟื้นฟูผิว
ก่อน
- ตรวจสอบคลินิกที่จะใช้บริการให้ดีเสียก่อน
- ตรวจร่างกายอย่างละเอียด
- 1-2 อาทิตย์ก่อนทำ งดทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวอย่างแอสไพริน
- งดทานวิตามินเอ, อี และนำมันตับปลา ที่ส่งผลต่อการบวมช้ำของแผลได้ง่าย
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด 2-3 อาทิตย์ก่อนทำ
หลัง
- ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์จากเคร่งครัด
- ไม่สามารถฉีดในบางตำแหน่งได้ เช่น ดอลลี่อาย และ ริมฝีปาก
ขั้นตอน
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้หัวดูดขนาดเล็กค่อย ๆ ดูดไขมันออกจากร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ไขมันเกิดความเสียหาย และได้ไขมันที่มีคุณภาพ
- ทำการปิดแผลบริเวณที่ดูดโดยไม่ต้องเย็บ
- นำไขมันที่ได้ไปปั่นแยกเพื่อให้ไขมันมีขนาดเล็กลง
- ทำการฉีดลงบริเวณชั้นผิวหนังโดยใช้เข็มขนาดเล็ก
การฉีดไขมันที่ผ่านการแยกมาแล้วนั้น เมื่อฉีดลงไปแล้วจะทำให้ไขมันมีการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผิวหน้าของเรามีความเรียบเนียน ไม่เกาะกันเป็นก้อน มีความอวบอิ่ม นอกจากนี้เซลล์ไขมันที่มีคุณภาพจะช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตของเซลล์ไขมันสูง ทำให้ไม่ต้องทำการฉีดไขมันเผื่อในปริมาณที่มาก
ข้อดี
- มีความปลอดภัยเพราะมาจากเซลล์ของเราเอง
- ลดอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และอาการบวมช้ำ
- ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน
- สามารถเติมไขมันเพิ่มได้ตามต้องการ
- ไม่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่
ข้อเสีย
- หากเป็นการฉีดไขมันแบบสมัยก่อนต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการพักฟื้น
- บางคนต้องฉีดในปริมาณที่มาก เนื่องจากอายุของเราที่มากขึ้นก็มีส่วนที่ทำให้เซลล์ไขมันมีอายุมากขึ้นตามไปด้วย
- ไม่เหมาะกับการดูดไขมันจากคนที่ผอม หรือ มีน้ำหนักตัวน้อย
ความแตกต่างของฟิลเลอร์ และ การฉีดไขมัน
ฟิลเลอร์ : เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความใกล้เคียงกับส่วนของผิวหนัง ไม่ได้มาโดยตรงแบบการฉีดไขมัน เมื่อฉีดแล้วอาจเกิดส่วนที่เป็นคลื่น ๆ ได้
การฉีดไขมัน : เป็นเซลล์ที่มาจากร่างกายของเราโดยตรง ที่ผ่านการปั่นแยกด้วยเทคนิคเฉพาะ เมื่อนำมาฉีดจะทำให้ผิวของเราดูเรียบเนียน อวบอิ่ม มากกว่าการเติมฟิลเลอร์
ความปลอดภัยระหว่างฟิลเลอร์ และ การฉีดไขมัน
ฟิลเลอร์ : ภายในสาร Hyarulonic acid (HA) มีเอนไซม์ประเภท Hyaluronidase
ที่สามารถย่อยสลายได้เอง 100 % หาดพลาดฉีดเข้าเส้นเลือดแพทย์ก็สามารถทำการรักษาได้ทันที
การฉีดไขมัน : ในไขมันไม่มีเอนไซม์ที่ย่อยสลายได้เอง ทำให้ถ้าพลาดฉีดเข้าเส้นเลือดอาจทำให้ตาบอด และเนื้อเยื่อตายได้
อ่านมาถึงตรงนี้คงช่วยให้ใครหลายคนที่กำลังสนใจการฉีดฟิลเลอร์ และ การฉีดไขมันได้รู้ข้อมูลมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรตรวจสอบข้อมูลของคลินิกที่จะไปใช้บริการให้ดีเสียก่อน เพราะการเสริมความงามได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้สมัยนี้มีคลินิกปลอมอยู่เยอะเช่นกัน หวังว่าข้อมูลที่เรานำมาบอกคงช่วยตัดสินใจได้มากขึ้นนะ