ผลข้างเคียงจากการร้อยไหมก้างปลา
การร้อยไหม
เป็นการใช้ไหมประเภทที่ละลายได้มาสอดสู่ชั้นผิวหนังเพื่อช่วยยกกระชับผิว ให้เต่งตึง ลดรอยเหี่ยวย่นของผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อย เผยผิวแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น และช่วยในการปรับโครงหน้าให้เรียวเข้ารูป ดูมีมิติโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด นอกจากนี้การร้อยไหมสามารถร้อยได้ทั้งผิวหน้าตามบริเวณจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก จมูก ร่องแก้มเป็นต้น และร้อยตามบริเวณผิวกายได้ด้วย แต่ในปัจจุบันจะนิยมใช้กับผิวหน้ามากกว่า ซึ่งไหมที่ใช้ในการร้อยมีหลายประเภทสามารถจำแนกได้ 4 ประเภทดังนี้
- ไหม PDO (Polydioxanone)
เป็นเส้นไหมที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีถูกใช้ในวงการเย็บ หรือเกี่ยวพันเนื้อเยื่อ มีความปลอดภัย เพราะสามารถละลายได้เองภายใน 6-8 เดือน ไม่ทิ้งสิ่งแปลกปลอมไว้ในร่างกายที่ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือเกิดอาการแพ้ใด ๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสในการแพ้น้อยมาก รวมทั้งยังสามารถยกกระชับผิวหน้า คงประสิทธิภาพอยู่ได้นานถึง 2 ปี นอกจากนี้เส้นไหม PDO มีราคาที่ถูก และเห็นผลได้ชัดทันทีหลังทำ และจะเห็นผลได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกประมาณ 6-8 สัปดาห์ ข้อดีของไหมชนิดนี้คือหากตัดสินใจร้อยไหมไปแล้วจะใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติเลย แม้จะมีรอยแผลเล็ก ๆ และมีอาการบวมช้ำเพียงเล็กน้อย แต่จะบรรเทาลงภายใน 1 สัปดาห์
- ไหม PGA (Poly Glycolic Acid)
เป็นเส้นไหมที่สามารถละลายได้อีกชนิดหนึ่ง โดยมีระยะเวลาในการละลายยาวนานกว่าเส้นไหม PDO ประมาณ 8-10 เดือนเลยทีเดียว และยังเป็นที่นิยมใช้ในไหมกรวย ซึ่งมีเทคนิคการร้อยใกล้เคียงกับไหมที่มีเงี่ยงโดยร้อยในชั้นไขมันและผิวหนังชั้นลึก มีตัวโคนช่วยในการพยุงผิวและชั้นไขมันแทน ทำให้ผิวหน้าดูยกกระชับเข้ารูป
- ไหมFeather-Lift หรือ Aptos threads
เส้นไหมชนิดนี้เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้ และมีลักษณะเป็นก้างปลา ซึ่งในปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้ในการร้อยไหม เนื่องจากเกิดผลข้างเคียงกับคนไข้ที่ทำ และเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ตัวก้างปลาจะหัก ส่งผลให้ผิวหน้าที่เคยยกกระชับ เต่งตึง กลับคืนสภาพหย่อนคล้อย จึงทำให้ไหมประเภทนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
- ไหมทองคำ หรือ Gold Thread
เป็นเส้นไหมที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ 99.99% มีขนาดเล็กเท่าเส้นผม โดยการร้อยไหมด้วยทองคำบริสุทธิ์จะช่วยกระตุ้นในการการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และพังผืดใต้บริเวณชั้นผิวได้เป็นอย่างดี แต่การร้อยไหมประเภทนี้มีข้อจำกัดคือ มีราคาแพง และหลังจากร้อยไหมทองคำแล้วไม่ควรทำเลเซอร์ เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์ จะทำให้ไหมทองคำที่เราร้อยไปนั้นขาด ส่งผลให้ใบหน้าผิดรูปทรงได้ และมีพังผืดเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกลักษณะของเส้นไหมออกเป็น 3 ชนิดดังนี้
- เส้นไหมเงี่ยง (Cog threads) มีลักษณะเป็นเงี่ยงตามแนวเส้นไหม ช่วยให้เกิดการยึดเกาะภายในชั้นผิวหนัง โดยเงี่ยงจะช่วยยกเนื้อเยื่อ หรือ ผิวหนังที่หย่อนคล้อย รวมทั้งช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหมและเงี่ยง เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับปรับโครงหน้าให้เรียวเข้ารูป
- เส้นไหมเกลียว (Screw threads) มีลักษณะเป็นเกลียวพันเข้าหากันอาจเป็นไหมเส้นเดียวหรือสองเส้นก็ได้ ไหมชนิดนี้จะช่วยเพิ่มปริมาตรบริเวณผิวหนังที่มีการยุบตัวเป็นแอ่ง แข็งแรงกว่าไหมเส้นเรียบ เหมาะกับคนที่ต้องการยกชั้นผิวหนังที่หย่อนยาน
- เส้นไหมเรียบ (Mono threads) มีลักษณะเป็นไหมเส้นเรียบ ไม่มีเงี่ยง ปุ่ม หรือเกลียว ใช้ร้อยบริเวณหน้าผาก ใต้ตา และคอเพื่อให้ผิวหนังมีความเต่งตึงเพิ่มขึ้น แต่จะไม่ช่วยยกกระชับในชั้นผิวหนัง
รู้จักประเภทเส้นไหมและลักษณะของเส้นไหมกันไปแล้ว ต่อไปมาทำความรู้จักกับประเภทการร้อยกันเลยดีกว่า ซึ่งการร้อยไหมมีอยู่หลายประเภท แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเลยก็คือ การร้อยไหมก้างปลา
การร้อยไหมก้างปลา (Barb)
เป็นการใช้เส้นไหมที่มีลักษณะเป็นเงี่ยงเกินออกมา คล้ายก้างปลาทั้งสองข้าง ในทางการแพทย์มีชื่อเรียกว่า Bidirectional Barbed Thread ไม่ได้เรียกตรง ๆ ว่า fishbone (ก้างปลา) แต่บางคนก็จะเรียกสั้น ๆ ว่า ไหมเงี่ยง ไหมปากฉลามเป็นต้น ซึ่งการร้อยประเภทนี้เหมาะสำหรับบุคคลที่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย ต้องการใช้เพื่อช่วยดึงหน้าให้ยกกระชับ กรอบหน้าเข้ารูปวีเชฟมากขึ้น ไหมก้างปลาจึงตอบโจทย์ได้ดี และเป็นไหมประเภท PDO หรือ Polydioxanone นั่นเอง คงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
ระยะเวลาที่ใช้ในการร้อยไหม
โดยส่วนมากการร้อยไหมก้างปลาจะใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 30-40 นาที แต่ก็ขึ้นอยู่กับทักษะความชำนาญของแพทย์ที่ทำการร้อยไหม จำนวนเส้นไหม และชนิดของไหมที่ร้อยด้วยเช่นกัน
วิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหม
- ไม่ควรไปทำทรีทเม้นท์ผิวหน้า สปานวดหน้า ยิงเลเซอร์ หรือทำอะไรเกี่ยวกับหน้าเด็ดขาด เช่น การนวดหน้าก็เหมือนเป็นการกดนวดผิวหน้าให้บอบช้ำมากยิ่งขึ้น ควรเว้นระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือนเพื่อให้แน่ใจว่าหน้าเข้าที่แล้วจะดีกว่า และไม่ควรนอนคว่ำ หรือ นอนตะแคงหลังการร้อยไหมด้วย
- งดทานยา อาหารเสริม หรือวิตามินประเภทกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เช่น วิตามินอี ยาแอสไพริน โสมและใบแปะก๊วยเป็นต้น
- หากมีอาการปวดระบมบริเวณที่ร้อยไหม ก็สามารถทานยาแก้ปวดที่ทางแพทย์จัดให้นั้นลดการบวมได้
- หากมีอาการผิดปกติ เพื่อความปลอดภัยควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอดูอาการ
ข้อดีการร้อยไหม
- ช่วยปรับโครงหน้าให้เข้ารูป วีเชฟมากขึ้น
- กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนบริเวณใต้ชั้นผิวหนัง ที่มีส่วนช่วยยกกระชับ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวในเนื้อเยื่อให้แข็งแรงมากขึ้น
- ได้ผิวที่ยกกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยลดลง ร่องแก้มตื้นขึ้น และผิวหน้าไม่หย่อนคล้อย
- หากร้อยไหมจมูก ก็จะช่วยปรับรูปทรงจมูก ให้ดูเป็นสันปลายจมูกดูยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- หากร้อยไหมยกหางตา หางคิ้ว และยกมุมปาก ก็จะทำให้บริเวณที่ร้อยนั้นยกกระชับขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งปากเป็นกระจับได้รูป ดูสวยเป็นธรรมชาติ
- ช่วยให้เกิดการไหลเวียนเลือดดีขึ้นเนื่องจากการร้อยไหมเป็นการไปรบกวนผิวหนังให้เกิดการอักเสบ มีการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ พอมีการไหลเวียนก็จะส่งผลให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใสเพิ่มขึ้น
- ช่วยยกกระชับสัดส่วนบริเวณใบหน้า และตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพกเป็นต้น
- รอยแผลเล็ก เพราะไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และมีโอกาสแพ้น้อยกว่า
- เห็นผลทันทีหลังทำ ใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่นาน สะดวกรวดเร็ว
ผลข้างเคียงและข้อควรระวังจากการร้อยไหม
จากที่กล่าวไปในข้างต้นว่าการร้อยไหมนั้นมีโอกาสแพ้น้อย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอาการแพ้เลย เพราะการร้อยไหมถึงแม้จะไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด แต่ก็ถือเป็นการรบกวนผิวหน้าให้เกิดการอักเสบจากการฉีดยาชาและการสอดไหมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หลังจากที่ทำการร้อยเสร็จแล้ว จะส่งผลให้ผิวหนังมีอาการบวม แดงช้ำ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหลังการร้อยไหมอยู่แล้ว เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอาการเหล่านี้ก็จะบรรเทาลงประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจใช้ความเย็นประคบลดการบวมใน 1-2 วันแรก หรือทานยาป้องกันอาการอักเสบตามคำแนะนำของแพทย์เป็นเวลา 4-5 วัน แต่สำหรับบางคนอาจเกิดการแพ้รุนแรงได้ ซึ่งสาเหตุก็มีดังนี้
- หากอุปกรณ์ที่ใช้ไม่สะอาด หรือไม่มีคุณภาพก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเช่นกัน และอาจส่งผลให้ผิวหนังมีรอยบุ๋มเป็นคลื่น หรือบางคนรูปหน้าทั้งสองข้างไม่เท่ากันก็มี อีกทั้งถ้าคนร้อยขาดทักษะในการร้อยที่ไม่ถูกต้อง ก็ล้วนแต่ส่งผลเสียในระยะยาวได้เช่นกัน
- เกิดพังผืดสำหรับคนที่ใช้ไหมทองคำ เป็นไหมประเภทที่ไม่ละลายได้ก็จะทิ้งสิ่งแปลกปลอมไว้ภายในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาวได้ ดังนั้นต้องพิจารณาให้ดีก่อนทำเพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง
- บางกรณีเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อาจทำให้เส้นประสาทที่ใบหน้าเกิดความผิดปกติ ใบหน้าเป็นอัมพาตได้
- มีอาการปวดเรื้อรัง ไม่หายเป็นปกติสักที
การร้อยไหมนั้นแม้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน ทางที่ดีเราตรวจสอบคลินิกที่จะใช้บริการให้ดีเสียก่อน และหลังจากร้อยไหมก็ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวต่อผิวหน้าเรานั่นเอง
Related Posts
-
ฟิลเลอร์ VS ร้อยไหม อะไรดีกว่ากัน
ไม่มีความเห็น | มี.ค. 28, 2020 -
เจาะลึกความสวยแบบหมดเปลือกด้วยร้อยไหม
ไม่มีความเห็น | เม.ย. 3, 2020 -
ความแตกต่างระหว่างร้อยไหม กับ ฉีดฟิลเลอร์
ไม่มีความเห็น | มี.ค. 27, 2020 -
ชะลอวัยด้วยการร้อยไหมคอลลาเจน
ไม่มีความเห็น | เม.ย. 3, 2020