ถ้าต้องการยกกระชับผิวด้วย Hifu ควรงดแอลกอฮอล์จริงหรือ
|การมีอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ร่างกายมีความสามารถในการผลิตคอลลาเจนนั้นลดลงตามไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่าง ๆ ซึ่ง คอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) เป็นองค์ประกอบหลักที่พบในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยประสานกันเป็นเส้นใยและถูกตรึงไว้ด้วยสารที่มีลักษณะคล้ายเจล เรียกว่า กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid) จะช่วยให้มีความสามารถในการจับน้ำได้ดี รวมทั้งยังทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ เมื่อมีอายุย่างเข้าสู่เลขสามขึ้นไปจะมีอัตราการผลิตคอลลาเจนลดลงเหลือประมาณ 20 % แต่ปัจจัยเรื่องอายุก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวที่เป็นส่วนทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ซึ่งยังมีปัจจัยที่เกิดจากภายในร่างกายและภายนอกร่างกายร่วมกันด้วย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผิว
- จากปัจจัยภายในร่างกาย
- พันธุกรรมหรือยีนที่สืบทอดมาจากพ่อแม่และบรรพบุรุษ จะพบว่าผิวหนังชั้นบนมีความบางตัวลง ซึ่งทำให้เกิดบาดแผลหรือรอยฟกช้ำได้ง่าย
- ผู้ที่มีอายุมากขึ้น จะมีการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูรอนิค ที่เป็นองค์ประกอบหลักในชั้นผิวหนังค่อย ๆ ลดลง จึงทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยในบริเวณหน้าผาก หนังตา มุมแก้ม มุมปาก ใต้คาง และลำคอ
- จากปัจจัยภายนอกร่างกาย
- แสงแดดเป็นปัจจัยที่ทำลายผิวในบริเวณผิวหน้าและผิวกาย เนื่องจากรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) ที่มีอยู่ในแสงแดด จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการสร้างสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนัง จึงเกิดความเหี่ยวย่น สีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ เส้นเลือดยายตัว และมะเร็งผิวหนัง
- มลภาวะจากฝุ่นและควันการเผชิญมลภาวะในทุก ๆ วัน จะเกิดการสะสมจนกระทั่งไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวได้
- ความเครียดจะทำให้ร่างกายผลิตสารคอร์ติซอล (Cortisol) หรือ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” เป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตในปริมาณที่มากจนเกินไป
- การรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น อาหารที่มีไขมันสูงและรสจัด
- การสูบบุหรี่ สารจากบุหรี่จะทำให้อีลาสตินเกิดการแตกตัวในผิวหนังทั้งชั้นตื้นและชั้นลึก จึงทำให้ผิวมีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Smoker’s Face คือ มีถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อย เกิดรอยเหี่ยวย่น และมีสีผิวที่ออกโทนเหลือง
- การดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน สารพิษในเครื่องดื่มจะส่งผลเสียต่อผิวพรรณ ระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบการย่อยอาหาร ทำให้การทำงานของตับและระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติเกิดเป็นไขมันพอกตับ จนอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
หลาย ๆ ท่านก็คงเคยดื่มแอลกอฮอล์กันมาบ้าง ซึ่งการดื่มหรือสัมผัสในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น การลดการทำงานของภูมิคุมกัน ลดการทำงานของตับ ทำลายฮอร์โมน และยังไปทำลายสุขภาพผิวให้เสื่อมลงอีกด้วย แอลกอฮอล์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ เอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl alcohol) จะนำมาผลิตเป็นเครื่องดื่ม ส่วนเมทิลแอลกอฮอล์ (Methyl alcohol) นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังนั้น เรามาดูกันเลยว่าถ้าหากได้รับปริมาณแอลกอฮอล์จากการดื่ม หรือการสัมผัสจะส่งผลกระทบต่อผิวเราได้อย่างไรบ้าง
ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์
- ผิวแห้ง จะทำให้การทำงานของตับผิดปกติและร่างกายขับน้ำออกมาในปริมาณมาก ทำให้ผิวหนังดูขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น โดยเฉพาะบริเวณผิวหน้าและผิวกายจะเกิดความแห้งจนเป็นขุยได้
- ผิวเกิดอาการบวมและอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายขาดน้ำและเลือดจะมีความเข้มข้นสูงขึ้น จึงต้องรักษาสมดุลในร่างกายด้วยการดูดซึมน้ำเข้าสู่เส้นเลือดให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดอาการบวมและอับเสบที่ผิว ซึ่งจะปรากฏเป็นผื่นแดง
- การเกิดสิว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะมีระดับน้ำตาลสูง จึงทำให้การทำงานของตับเกิดความผิดปกติ เพราะตับมีหน้าที่ขับสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างออกจากร่างกาย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวขึ้น
- ผิวหมองคล้ำ แอลกอฮอล์จะดึงวิตามินเอ (Vitamin A) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระออก เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี เพิ่มการสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ และยังไปชะลอการเกิดริ้วรอย ถ้าผิวขาดวิตามินเอที่จำเป็นจะส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำขึ้น
- มะเร็งผิวหนัง ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มาก ๆ เป็นประจำ จะมีอัตราความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มถึง 2 เท่า
ผลกระทบจากการสัมผัสแอลกอฮอล์
ส่วนใหญ่จะพบได้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอาง โทนเนอร์ และเจลล้างมือ ซึ่งแอลกอฮอล์สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ หากสัมผัสกับผิวเป็นประจำจะกระตุ้นผิวให้ผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมา จึงทำให้ผิวแห้งและยังไปลดแรงตึงผิว หรือบางรายอาจเกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการพัฒนาสูตรของกลุ่มอนุพันธ์แอลกอฮอล์ที่เรียกว่า โพรไพรีนไกลคอล (Propylene glycol) โดยเป็นแอลกอฮอล์ไขมัน (Fatty alcohol) ที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นและอ่อนโยนกับผิวหนัง ดังนั้นต้องระวังการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าวเป็นพิเศษ
เมื่อทราบถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผิวกันแล้ว การหาวิธีที่ช่วยดูแลและรักษาผิวของเราให้กลับมาดูดีขึ้น ด้วยเทคโนโลยี High Intensity Focus Ultrasound หรือ Hifu ที่เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูงส่งผ่านไปยังชั้นผิวหนังระดับลึกถึงชั้น Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) เพื่อทำให้เกิดกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นการฟื้นฟูผิวให้ดูยกกระชับและอ่อนเยาว์มากขึ้น
ข้อดีของการรักษาด้วย Hifu
เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ความหย่อนคล้อยบริเวณผิวหน้าและผิวกาย Hifu เป็นเทคโนโลยีการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง โดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรมหรือผ่าตัด จึงไม่มีบาดแผลใด ๆ ปรากฏหลังการรักษา จะใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และหลังการรักษาก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติเลย
การเตรียมตัวก่อนและการดูแลหลังการรักษาด้วย Hifu
- ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามิน เกลือแร่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แก่ผิว เช่น คอลลาเจน และวิตามินซี
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับความสมดุลให้แก่ร่างกายและผิวพรรณ
- ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและการทำงานของต่อมน้ำเหลืองให้ขับของเสียได้ดีขึ้น
- ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหน้าของเรา
- ควรบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เคลือบผิว และลดการระเหยของน้ำในชั้นผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแดดจัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดที่มีรังสี UVA และ UVB
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะจะทำให้ผิวแห้งง่าย
- หลีกเลี่ยงการขัด นวด หรือถูบริเวณใบหน้าแรง ๆ
- หลีกเลี่ยงการเผชิญมลภาวะฝุ่นหรือควัน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เพราะสารนิโคตินในบุหรี่จะไปทำลายคอลลาเจน อีลาสติน และอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวเกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ นั้น จะทำให้ร่างกายเกิด Free Radical ส่งผลให้เกิดความเสื่อมต่าง ๆ ต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวเกิดอาการบวมและอักเสบ ผิวหมองคล้ำ และการเกิดสิว
ดังนั้น ถ้าอยากให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด เราก็ควรดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตนเองตามคำแนะนำที่กล่าวมาด้วยนะคะ