ความแตกต่างระหว่างร้อยไหม กับ ฉีดฟิลเลอร์
|คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับผู้หญิงตลอดมา ยิ่งในยุคปัจจุบันผู้หญิงหลายคนเริ่มหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น และเมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็คงทำให้หลายคนกังวลใจกลัวว่าผิวพรรณจะไม่สดใส เปล่งปลั่ง ขาดความกระชับ และไม่อ่อนเยาว์กว่าแต่ก่อน ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำเทคนิค 2 ประเภทที่คงจะช่วยให้ความกังวลใจของสาว ๆ หมดไป เทคนิคที่ว่านั้นก็คือ การร้อยไหม และ การฉีดฟิลเลอร์ นั่นเอง แต่ว่าทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันยังไง ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันเลย
ร้อยไหม คือ การใช้เส้นไหมชนิดพิเศษประเภทที่ละลายได้หลาย ๆ เส้นมาร้อยเข้าสู่บริเวณใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวหนังยกกระชับ เต่งตึง ปรับกรอบหน้าให้เข้ารูปวีเชฟมากขึ้น และสามารถร้อยไหมเฉพาะจุดได้ด้วยยกตัวอย่างเช่น บริเวณหน้าผาก, ร่องแก้ม และขากรรไกรเป็นต้น การร้อยไหมไม่เพียงแต่ร้อยที่บริเวณใบหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถร้อยไหมเพื่อยกกระชับตามบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย
หลักการทำงานของการร้อยไหม คือ การร้อยไหมก็เหมือนกับการที่เราไปกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวให้เกิดการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ มีการไหลเวียนของเลือดมาหล่อเลี้ยงชั้นผิวหนัง กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาพันรอบแนวเส้นไหม รวมไปถึงยังช่วยให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว ทำให้รู้สึกเหมือนผิวหน้าถูกดึงรั้ง มีแรงตึง ยกกระชับ และกรอบหน้าคมชัดมากขึ้น
ประเภทของเส้นไหม
ไหมที่ได้รับการยอมรับในวงการศัลยกรรมการเย็บ คือ พอลิไดอ๊อกซาโนน (Polydioxanone หรือ PDO) เป็นไหมที่มีความปลอดภัย โอกาสแพ้มีน้อย ไม่เป็นพิษและทิ้งสิ่งแปลกปลอมไว้ในร่างกาย สามารถละลายได้เองประมาณ 6 – 8 เดือน มีประสิทธิภาพต่อผิวหนังประมาณ 2 ปี อีกทั้งเส้นไหมประเภทนี้ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศ ที่อนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ในการเย็บเท่านั้น
โดยแบ่งเส้นไหมออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
- เส้นไหมเรียบ (Mono threads) เป็นเส้นไหมเรียบ ไม่มีเงี่ยง ปุ่ม หรือเกลียว ใช้ร้อยบริเวณหน้าผาก ใต้ตา และคอ ช่วยให้ผิวหนังมีความเต่งตึงได้เป็นอย่างดี
- เส้นไหมเกลียว (Screw threads) เป็นเส้นไหมเส้นเดียวหรือสองเส้นที่พันเกลียวเข้าหากัน ช่วยเพิ่มปริมาตรบริเวณผิวหนังที่ยุบตัวหรือเป็นแอ่ง ให้ยกกระชับ ไม่หย่อนคล้อย มีความแข็งแรงกว่าไหมเส้นเรียบ เหมาะสำหรับกับการยกชั้นผิวหนังที่หย่อนคล้อย
- เส้นไหมเงี่ยง (Cog threads) เป็นเส้นไหมเส้นเดียวที่มีเงี่ยงตลอดแนว ช่วยให้เกิดการยึดเกาะภายในชั้นผิวหนัง โดยเงี่ยงจะทำหน้าที่คล้ายกับโครงสร้าง ที่ช่วยยกเนื้อเยื่อหรือบริเวณผิวหนังที่หย่อนคล้อย และกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหมและเงี่ยง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณคาง หรือปรับโครงหน้าให้เรียวชัดขึ้น
สิ่งที่ควรทำก่อนและหลังร้อยไหม
ก่อน
- ควรศึกษาข้อมูลสถานที่ที่จะใช้บริการให้ดี และควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง แจ้งประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับการแพ้ และโรคประจำตัวต่าง ๆ
- งดยาประเภทแอสไพริน
- งดทานอาหารเสริมและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลัง
- หลังร้อยไหมจะมีอาการบวมช้ำ ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
- งดทำเลเซอร์ ทำทรีทเม้นท์ หรือสปาผิวหน้าที่ต้องออกแรงกดหนัก ๆ 1 – 2 อาทิตย์
- งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 – 2 อาทิตย์เพื่อลดการบวมช้ำ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หากมีอาการผิดปกติให้พบแพทย์ทันที
ร้อยไหมนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
ข้อดี
- ใช้ระยะเวลาในการทำ และพักฟื้นหลังทำไม่นาน
- ได้ผิวหน้าที่ยกกระชับ เต่งตึง กรอบหน้าเข้ารูป
- เห็นผลทันทีหลังทำ
- ไม่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ เพราะไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
- ไม่ทิ้งสิ่งแปลกปลอมไว้ในร่างกาย เพราะเส้นไหมสามารถละลายได้
ข้อเสีย
- มีอาการบวมแดงช้ำ และมีรอยแผลเล็ก ๆ จากเข็มตามแนวการสอดไหม แต่จะค่อย ๆ ลดลงไม่เกิน 1 อาทิตย์
- เกิดหนองได้หากไหมไม่มีคุณภาพ จะทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนในผิวหนัง
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบ หากเข็มไม่สะอาด
- อยู่ได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ถาวร
การฉีดฟิลเลอร์คืออะไร?
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทของเหลวที่ช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป สมัยก่อนมีการแบ่งประเภทของฟิลเลอร์ออกเป็น 2 แบบคือ แบบคงอยู่ไปตลอด (Permanent) และ แบบไม่ถาวร (Non-Permanent) แต่ในปัจจุบันประเภทหลังได้รับความนิยมมากกว่า เพราะได้รับการรับรองจากอย. ฟิลเลอร์ประเภทนี้เรารู้จักกันดีในชื่อสาร Hyaluronic Acid หรือเรียกสั้น ๆ ว่าสาร HA เป็นสารที่สามารถสลายได้เองเพราะมีเอนไซม์ Hyaluronidase ทำให้มีความปลอดภัย โอกาสแพ้น้อย สาร HA เป็นองค์ประกอบสารพื้นฐานในชั้นผิวหนังแท้ (Ground Substance) ร่างกายสามารถดูดซึมได้ เมื่อฉีดแล้วสารจะทำหน้าที่ช่วยให้ชั้นผิวหนังแท้มีความเรียบเนียน ยกกระชับ ผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น บริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ได้แก่ หน้าผาก ขมับ ใต้ตา จมูก ปาก คาง และร่องแก้มเป็นต้น
แบ่งออกได้ 3 ประเภทดังนี้
- ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler) คือ สารประเภทพวก ซิลิโคนเหลว หรือ พาราฟิน มีราคาถูกแต่อันตราย ไม่สามารถสลายเองได้ ต้องขูดออกอย่างเดียวเท่านั้น และให้ผลข้างเคียงในระยะยาว
- ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler) คือ ฟิลเลอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับผิวหนังสามารถสลายไปเองได้ มีความปลอดภัยสูง โอกาสแพ้น้อย ฟิลเลอร์ประเภทนี้ที่เรารู้จักกันดีได้แก่ สาร Hyaluronic acid (HA) สารคอลลาเจน (Collagen) และ ไขมัน (Fatty)
- ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent filler) คือ ฟิลเลอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่นกัน มีอายุมากกว่าแบบชั่วคราว มีความปลอดภัยระดับปานกลาง ได้แก่ สาร Polyakylimide และ สาร Polymethy-Methacrylate (PMMA)
สิ่งที่ควรทำก่อน-หลังฉีด
ก่อน
- หาข้อมูลคลินิกที่จะใช้บริการให้ดีก่อน และต้องฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- งดทานยาประเภทแอสไพริน วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- งดทำการผลัดเซลล์ผิวหน้า หรือ กิจกรรมออกกำลังกายอย่างหนักที่ทำให้เลือดสูบฉีด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
หลัง
- จะมีอาการบวมแดง ช้ำในจุดที่ฉีด แต่อาการจะบรรเทาลงภายใน 2-3 วัน
- หากก่อนทำไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที
- ควรประคบเย็นอย่างระมัดระวังตามคำแนะนำของแพทย์
- งดเลเซอร์ ซาวน่า หรือ กิจกรรมออกกำลังกายอย่างหนัก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
ในกระบวนการฉีดนี้แพทย์จะใช้เวลาประมาณ 10 – 30 นาที จะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อฉีดเสร็จแล้วแพทย์จะให้นอนพักสักครู่เพื่อให้ฟิลเลอร์อยู่ตัว หลังจากนั้นแพทย์ก็จะให้คำแนะนำในการดูแลหลังฉีด ก็สามารถกลับบ้านได้
การฉีดฟิลเลอร์มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
ข้อดี
- เห็นผลทันทีหลังทำ และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน
- ช่วยให้ผิวยกกระชับ มีความเรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์
- มีความปลอดภัย ไม่ต้องวางยาสลบขณะทำ
- ไม่เกิดสารตกค้างในร่างกายในฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราว
ข้อเสีย
- อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยตามมา เช่น ผื่นแดง รอยแผลเป็นจ้ำบริเวณที่ฉีด
- เกิดผลข้างเคียงระยะยาวในฟิลเลอร์แบบถาวร
- อาจติดเชื้อถ้าฟิลเลอร์และอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้คุณภาพ
การฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ อยู่ในช่วงให้นมบุตรอยู่
- ผู้ที่แพ้สาร Hyaluronic Acid หรือ แพ้ยาชา
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ไม่สามารถคุมน้ำตาลได้ดี
- ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นเริมที่ปาก
- ผู้ที่อยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorder)
จากข้อมูลข้างต้นหากต้องการให้ผิวหน้ารู้สึกยกกระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย ผิวแลดูอ่อนเยาว์ การร้อยไหมจะตอบโจทย์ได้ตรงกว่าวิธีฉีดฟิลเลอร์ และสิ่งที่ทั้งสองวิธีที่มีเหมือนกันคือ ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดแต่อย่างใด รู้ข้อมูลคร่าว ๆ แบบนี้แล้วรู้สึกอยากทำสวย ก็เตรียมตัวให้พร้อมกันเลย